เกี่ยวกับฉัน

วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2553

@ Karma Sound Studios !


      อันที่จริงแล้วการที่เราได้ไปบันทึกเสียงที่  Karma Sound Studios นั้นเรียกว่าเป็นความโชคดีมากอย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งมันเป็นข้อตกลงอย่างหนึ่งในรางวัลของงาน Canon U-league แต่รู้สึกว่าเมื่อปีที่แล้วจะเปลี่ยนชื่อเป็น TOT Music U- league จริงๆมันก็งานเดิมนั่นแหละครับ ^^  การได้ไปสัมผัสบรรยากาศห้องอัดที่เรียกได้ว่าดีที่สุดใน South-East Asia มันก็ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย ทั้งอุปกรณ์และห้องอัดที่แลดูอลังการงานสร้างแถมอยู่ติดทะเลยิ่งทำให้รู้สึกว่าไม่เสียดายที่เกิดมาเลย 55+ อย่างไรก็ดีพวกเราต้องขอขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีอย่าง พี่แจ็ค(เจษฎา พัฒนถาบุตร)ผู้ก่อตั้ง Jack Sound System ที่คอยสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือต่างๆมากมายและหยิบยื่นโอกาสดีๆแบบนี้มาให้พวกเรา ขอบคุณมากครับ
    
พี่แจ็ค(เจษฎา พัฒนถาบุตร)

     การเดินทางครั้งนี้ออกเดินทางกันตอนเช้าวันที่ 9 กรกฎาคม โดยการไปทำงานครั้งนี้จะมีพี่ๆจาก JSS 3 คน เดินทางไปกับเราด้วย และจะมีพี่ 1 คนที่จะอยู่กับเราจนกลับ คือ พี่เอย  และพี่อีก2คนที่มาช่วย set up แล้วกลับวันนั้นเลย คือพี่ไพศาล และ พี่ชิต  สำหรับการเดินทางนั้นเป็นไปแบบสบายๆ และก่อนจะถึงห้องอัดเราได้ไปแวะชิมก๋วยเตี๋ยวเป็ดที่พี่ๆที่เคยมาบอกมาว่าอร่อยมาก แต่ตอนเราไปดันไม่มีเป็ดซะนี่ อืม...น่าเสียดาย หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปถึงห้องอัด
  





         Karma Sound Studios พูดได้เลยว่าเป็นห้องอัดที่อลังการมาก รูปลักษณ์ว่ากันจริงๆแล้วมันเหมือน resort ที่มี studio ขนาดมหึมาตั้งอยู่ภายใน อย่างแรกที่ทุกๆคนที่มาถึงจะสะดุดตาคือมีสระว่ายน้ำขนาดพอประมาณที่พอเดินเข้ามาในบ้านก็จะเห็นเลยและสนามหญ้าด้านหน้าที่สวยงาม(เราเข้าด้านหลังครับ ต้อง load ของเข้าทางด้านหลัง) เฟอร์นิเจอร์ที่ตกแต่งภายในดูเรียบง่ายสวยงาม และอากาศที่บอกได้เลยว่าสดชื่นมากเพราะหากดูรอบๆแล้วแทบจะเป็นป่าล้อมรอบเลยก็ว่าได้ ซึ่งตัวสตูดิโอนั้นอยู่ห่างจากถนนใหญ่ประมาณ 500 เมตร หากเลยไปอีกหน่อยก็จะทะลุไปถึงหาดบางเสร่ แต่! ใครจะรู้ว่าระหว่างทางที่จะไปชายหาดมันมีเรื่องราวที่น่าสนใจอยู่? เอาไว้พูดตอนท้ายๆแล้วกันนะครับ







       มาพูดถึงเรื่องการ set up ในวันนั้นเริ่มเซทกันช่วงบ่ายไปจนถึงดึกๆก็เสร็จเรียบร้อยซึ่งเราเองก็แอบสังเกตการทำงานของพี่ๆว่าเขาทำอะไรยังไงเอาไว้เป็นความรู้ด้วย แต่ก่อนอื่นต้องแนะนำ engineer 2 คนที่ประจำอยู่ที่ studio คือ พี่โบโบ้ และคุณฮาร์เวิด พี่2คนนี้ทำงานกันขมักเขม้นมากๆ เซทไปปรึกษากันไปเป็นภาษาอังกฤษเราก็ได้แต่แอบฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้างแต่ก็สนุกดี อุปรณ์บางส่วนเราได้รับความเอื้อเฟื้อจาก JSS ให้เราใช้บันทึกเสียงเช่นแอมป์กีตาร์และแอมป์เบส อีกส่วนหนึ่งเราใช้ของที่ studio โดยอุปกรณ์ที่เราใช้ในการบันทึกเสียงครั้งนี้มีดังต่อไปนี้

 Rivera Knuckle Reverb Head Amp & 4 x 12 Cabinet
 Ampeg SVT Classic  Head Amp
 Aguilar DB 750  4 x 12 Cabinet 2 set
 Yamamha recording drums
 Zildjian A Custom Cymbal Set
 Fender Jazz Bass
 ESP Horizon NT II Guitar
 Takamine G Series Acoustic Guitar


         ในวันนั้นเรา set up กันอยู่ค่อนข้างนาน โดยมีพี่ไพศาลและพี่โบ้ที่จัดการเรื่องนี้เกิบทั้งหมด เราจะทำพวกรายละเอียดของเครื่องดนตรีซะมากกว่าซึ่งเราก็เตรียมมาแล้วเช่นเรื่องปรับหน้าตู้แอมป์ เซทตำแหน่งต่างๆของกลอง แต่พอเอาเข้าจริงๆก็มีอะไรให้ลองเยอะแยะไปหมดอีกปรับโน่นเปลี่ยนนี่จนเราได้ sound ที่เราถูกใจที่สุด โต้ได้ใช้ Ampeg SVT Classic  Head Amp ไปต่อไปยัง cabinetของ  Aguilar DB 750 ให้ทั้งความหนักแน่นและชัดเจนบวกกับความ bright จากเบส fender  ก็ได้เสียงที่ถูกใจโต้มากเลยก็ว่าได้ ส่วน Rivera Knuckle Reverb Amp ให้เสียง hi gain ที่หนามากถึงหนาเวอร์ เสียงออกดิบๆ ออกไปทางvintage หน่อยถึงแม้จะใช้ modern mode โดยบอลได้ใช้ Ibanez TS9DX บูสเพิ่มเข้าไปก็ได้ซาวน์ที่ฟังดู modern ยิ่งขึ้น อีกทั้งพี่โบ้ก็คอยช่วยตอนเซทให้เหมาะกับกับการทำงานในสตูดิโอและให้ได้คาร์แรกเตอร์ที่เหมาะกับเพลง ส่วนขั้นตอนการวางไมค์เราทำได้แค่นั่งดูเฉยๆเพราะพี่โบ้และคุณฮาร์เวิดก็จัดการเรียบร้อยแถมไมค์มันเยอะไปหมดหน้าตาไม่คุ้นทั้งนั้นซะด้วย









        ในคืนแรกนั้นเราก็ได้ sound check จนเสดเรียบร้อยไปเลยก่อนที่จะไปนอนกันช่วงประมาณเที่ยงคืน แต่ก็ไม่ได้นอนกันเลยหรอกครับเพราะในstudioมี wifi ให้ใช้กันอย่างสนุกสนาน แถมห้องพักยังกับอยู่คอนโดย่านสาธร กว่าจะได้นอนก็ปาไปเกือบตี 3 โดยแยกกัน นอน 3 ห้อง ห้องแรกของพี่เอย ห้องที่สองของ บอล ผิว และชดรุ่นน้องที่เราให้มาช่วยอะไรนิดๆหน่อยเหมือนฝ่ายประสานงานประมาณนั้น ส่วนอีกห้องเป็นของ อู๋ กับ โต้ข้อเสียของห้องพักคือ สบายจนไม่อยากตื่น555+ ในห้องพักไม่มีพัดลมมีแต่แอร์ที่ปรับยังไงก็หนาวอยู่ดีจริงๆก็อย่างจะช่วยเขาประหยัดไฟอะนะ เคยแอบถามหลังไมค์กับพี่ๆที่นั่นว่าค่าไฟแพงไหมไหนจะค่าแอร์อีกทั้งพวกอุปกรณ์ในห้องอัดที่บางอย่างเขาก็ไม่ปิดเลยแม้จะไม่ใช้งาน อย่างเช่น Analog Mixer  สุดอลังการราคาเหยียบสิบล้านที่ไม่เคยปิดเลย พี่เขาก็แอบบอกมาว่าใช้ได้ ซึ่งพอได้รู้ยอดก็แทบอ้วกกันเลย







    
           เรื่องการอัดก็เป็นไปแบบสบายๆอัดเริ่มกันประมาณ 11โมง โดยเริ่มแรกเลยเราจะเริ่มอัดรวมทั้งวงเพื่อใช้เป็น guide line โดยพี่โบ้ให้คำอธิบายว่าเพื่อให้มันได้ความรู้สึกของการเล่นสดจริงๆ การทำแบบนี้จะได้เรื่องของอารมณ์ที่จะสามารถถ่ายทอดออกมาได้ดีกว่า ลักษณะการอัดจะแบ่งห้องอัดออกเป็น2โซน คือโซนของกลอง และโซนของกีตาร์กับเบส โดยจะมีประตูกระจกกั้นเพื่อกันเสียงกวนกัน อีกทั้งยังมี บานเลื่อนที่พี่โบ้จะเลื่อนมาวางในตำแหน่งต่างๆ ซึ่งดูแล้วแปลกตาดี ในช่วงบ่ายเราก็พักกินข้าวกัน โดยทางแม่บ้านของstudioจัดแจงเรื่องอาหารให้ซึ่งอาหารทุกมื้อต้องขอชมว่าอร่อยมาก  แต่ละเมนูไม่ซ้ำกันสักวัน และเราก็พักกินข้าวกันอีกครั้งตอนประมาณ2-3ทุ่ม  ในวันแรกๆที่เราไปถึงนั้นเราก็จะทำงานเกร็งๆหน่อยเพราะยังไม่กล้าคุยอะไรกับพวกพี่ๆมากนักทั้งพี่เอย และพี่โบ้ แต่พออยู่ไปสัก2วันเราก็เริ่มคุยกันมากขึ้นแรกเปลี่ยนมุมมองต่างๆ ทุกๆนาทีที่เราอยู่ที่นั้นมันคือการเรียนรู้อะไรใหม่ๆไม่ว่าจะตอนอัด พักคุยกัน หรือหลังเสร็จงานในแต่ละวันมุมมองต่างๆและประสบการณ์ที่ได้ฟังจากพี่ๆทำให้เราได้เปิดโลกทัศน์ของเราซึ่งจริงๆแล้วหลายๆเรื่องเราเองก็คิดไม่ถึงหรือมองข้ามมันไป การได้มาบันทึกเสียงที่นี่ทำให้
เราได้ประสบการ์และได้เรียนร้การเตรียมพร้อมในการเข้าห้องอัดในโอกาสต่อๆไปของเราด้วย




       การทำงานที่นั่นสนุกมากจนมารู้สึกตัวอีกทีก็จะเสดงานกันแล้วที่ลืมไม่ได้เลยคือปาร์ตี้หลังเสดงานยาวกันยันเช้า(ความจริงก็ยันเช้าเกือบทุกคืน55+)พร้อมกับโดดน้ำกันตอน 7 โมงเช้ากันเลย แดดยังไม่ออกด้วยซ้ำ การทำงานของที่นี่เวลาทำงานจะจิงจังมากโดยพี่โบ้ก็จะคอยดูเรื่องการอัด ลายละเอียดเทคนิกต่างๆ ว่าตรงนั้นตรงนี้เหมาะหรือไม่ ควรอัดแบบไหนจะออกมาแล้วสื่อถึงอารมณ์ได้ซึ่งตรงจุดนี้พูดได้เลยว่าเป็นงานที่หินใช้ได้เลยทีเดียว ถึงแม้ว่าเราจะเตรียมตัวมาอย่างมั่นใจแต่ในมุมมองและประสบการณ์ของพี่ๆเขาสามารถมองออกเรื่องเหล่านี้ได้ค่อนข้างขาดเลยทีเดียว พี่โบ้สำหรับพวกเราแล้วพี่โบ้เป็นเหมือน Studio Producer เลยก็ว่าได้ พี่โบ้ทำงานอย่างจริงจังและใช้อุปกรณ์ได้อย่า'คล่องแคล่วมากซึ่งพี่โบ้ก็จะค่อนข้างเป็นกันเองกับพวกเรามากเลยทีเดียวพอเห็นว่าเราเริ่มล้าพี่เขาก็จะให้เรา relax บ้างบางทีพี่เขาก็ชวนคุยเรื่องต่างๆแต่บางครั้งก็มีคอมเมนท์ที่สร้างความกดดันไม่น้อย  เวลาช่วงพักบางครั้งพี่โบ้ก็จะเปิดเพลงดีๆให้ฟังเล่าเรื่องราวต่างๆซึ่งเราไม่เคยได้รู้




       จริงๆแล้วยังมีเรื่องราวอีกเยอะทีเดียวแต่ก็นะ ถ้าจะให้บรรยายกันคงต้องแบ่งไปเป็นตอนๆ เรียงตามวันเลยแหละแต่ที่เรียกได้ว่าประทับใจอีกอย่างหนึ่งเลยคือเรื่องที่พูดไว้ในตอนต้นกับความลับตรงทางท้ายซอยที่ตรงไปหาดบางเสร่.....



      ความจริงมันก็ไม่มีอะไรมากนัก มันเป็นเรื่องขำๆในกลุ่มเสียมากกว่า แต่ก่อนอื่นเลยก่อนจะเล่าเรื่องนี้ต้องบอกว่า ตอนเรามาถึงที่พอเรามองจากระเบียงทางเดือนหน้าห้องพักเราจะเห็นทะเล ภูเขาและต้นไม้ใหญ่ มันทำให้เราคุยกันว่าลองหาเวลาๆตื่นเช้าๆออกไปเดินสำรวจถ่ายรูปสวยๆเก็บไว้กันไหม ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยแต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่ได้ไปซะที ในช่วง3-4วันสุดท้ายนี่แหละตอนดึกๆมีเสียงมอเตอร์ใจดังมากขับผ่านสตูดิโอไปซึ่งไม่ได้มาคันเดียวแต่มากันเป็นโขยงเลย  พี่ๆแม่บ้านและพี่แหม่มแฟนพี่ฮาร์เวิดก็เล่าให้ฟังว่าเลยซอยถัดไปนั้นมีบ้านร้างที่รายการ The Shock เคยมาทำรายการที่นี่ด้วย แถมเหล่าประวัติให้ฟังและเล่าเหตุการณ์ประหลาดๆอีกด้วย  ซึ่งจริงๆแล้วจะบอกว่าในซอยถ้านับเป็นถนนเส้นเดียว ที่แยกมาจากถนนใหญ่ ก็มีสตูดิโอตั้งอยู่หลังเดียวโดดๆ บ้านหลังอื่นๆก็ไกลจากสตูดิโอมาก แถมแถวนั้นไม่มีไฟข้างทางเลย มันทำให้บรรยากาศมันวังเวงเสียยิ่งกระไร ซึ่งพอเริ่มตกเย็นพี่ๆแม่บ้านจะคอยบอกเราว่าเย็นแล้วไปซื้อของเดี๋ยวจะมืดก่อนมันจะไปกลับลำบาก จริงๆแล้วอาจจะด้วยเหตุนี้ด้วยก็ได้มั้ง555+   พอทุกคนรู้อย่างนี้ก็จะออกไปเตรียมของช่วงเย็นเวลาวันไหนจะปาร์ตี้กันต่อหลังเสร็จงาน แต่ ! ทุกคนเหรอร?  ไม่สิต้องบอกว่า ทุกคนรู้หมด ยกเว้นบอลเพราะอัดกีตาร์อยู่ในห้องอัดตอนพี่ๆเขาเล่าให้ฟัง ...




                 แล้วแจ็คพอร์ตชิ้นโตก็เข้าตอนวันสุดท้ายของการอัดเพราะก็ว่าจะดื่มฉลองกะพี่โบ้หน่อยเห็นพี่เขาทำงานหนักทุกวันเลยจะเลี้ยงพี่เขาสักหน่อย อาสาสมัครคือ โต้ และ บอล ที่จะจะออกไปซื้อของ ในตอนนั้นโต้มาตามบอลไปซื้อของตอน ประมาณ 5โมงกว่าๆเกือบจะ 6โมงเย็น  ยืม Honda Wave คันแรงของพี่รปภ.ไป แต่พอไปถึงตลาดกลับกดเงินจาก ATM ไม่ได้ เพราะแถวนั้นไม่มีตู้ be first ของธนาคารกรุงเทพ ถามว่าแล้วตู้ของธนาคารอื่นไม่ได้เหรอ ต้องบอกว่าไม่ได้จริงๆ(ใครใช้อยู่คงจะเข้าใจ) ทั้งสองคนจึงต้องกลับไปเอาทุนทรัพย์มาใหม่ ช่วงที่ไปอัดฝนตกด้วยถนนทางเข้าไปสตูดิโอก็ไม่ได้ราดยางหรือเป็นคอนกรีตแต่อย่างไร ก็ทุลักทุเลไม่ใช่น้อยแถมไม่มีไฟอีก พอกลับไปถึงสตูดิโอ โต้ขอผานไม่ไปแล้ว บอลที่ไม่รู้อะไรก็ไม่รู้ต่อไปแล้วงานก็เข้าที่ผิวโดนส่งไปเป็นเพื่อนบอลซื้อของ กลับออกไปอีกครั้งบอลแต่ว่าผิวดูลนลาน  บอลเลยถามว่าเป็นอะไรก็เลยเล่าให้ฟัง ปัญหาคือทำไมไม่เลาตอนกลับมาถึงแล้วแต่เล่าซะตั้งแต่ตอนเพิ่งออกจากสตูดิโอเลย ไหนจะต้องผ่านทางมืดๆแคบๆรถสวนไม่ได้แถมต้นไม้ขึ้นกันรกทึบ กว่าจะถึงถนนใหญ่แล้วขากลับอีกต่างหาก บอลเล่าว่าหลอนกันทั้งขาไปขากลับขากลับหนักสุดมอเตอร์ไซด์จะดับไฟหน้าก็สว่างบ้างวูบบ้างตามแรงบิด ทั้งสองจึงกลายเป็นผู้เคราะห์ร้ายไป



      กลับมาเข้าเรื่องต่อแล้วกันนะครับ เราใช้เวลาอัดที่สตูดิโอ 5วัน หลังจากนั้นเราก็อยู่พักผ่อนกันต่อ โดยพี่เอย ชด และ ผิว เดินทางกลับก่อนเพราะมีงาน มันเป็นช่วงเวลาดีๆที่ได้ทั้งความสนุกเฮฮา ความรู้ ประสบการณ์ อีกทั้งความหลอน 555+ (อันหลังไม่เกี่ยวนะครับหลอนกันไปเองจริงๆไม่มีอะไรหรอกครับ)
เราได้เก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านี้และย้ำตัวเองเสมอว่ามีอะไรอีกมากมายให้เราเรียนรู้ให้เราได้พบเจอไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ดี  อุปสรรค์ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เราต้องเจอและต้องเรียนรู้ต่อไปกันตลอดชีวิตกันเลยทีเดียว









     สุดท้ายขอขอบคุณและให้เครดิตทาง JSS Production co.,ltd.  Karma Sound Studios  และ Canon U-league ที่เปิดโอกาสดีๆให้กับนักดนตรีรุ่นใหม่ สำหรับเพื่อนๆที่มีวงดนตรีลองไปลงแข่งขันกันได้ครับเรียกว่างานนี้สุดคุ้ม แถมแชมป์ของทุกปีก็จะได้มาบันทึกเสียงที่ห้องอัดที่ศิลปินระดับโลกอย่าง Jamiroquai และ Placebo สำหรับศิลปินแนวหน้าของเมืองไทยอย่าง Retrospect และ Clash เป็นต้น ที่เคยมาบันทึกเสียงและ mixdown กันที่นี่










วันพุธที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Biography



  


  จุดเริ่มต้น

   Lunatic เดิมทีนั้นเริ่มต้นจากสมาชิก2คน คือ บอล(อวิรุทธิ์ บึ้งชัยภูมิ) และ อู๋(นววิธ แซ่แต้) ฟอร์มวงกันในมหาวิทยาลัยในช่วงปี 2006 ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อมีผลงานเป็นของตัวเอง แต่ภายหลังที่ได้สมาชิกเพิ่มมาอีก 2 คน คือ โต้(กิตติพนธ์ แสนดวงดี) และ เติ้ล(กฤษฎา เจษน์จำนงค์สกุล) ซึ่งปัจจุบันเป็นมือกลองของวง Common Sense วงได้เริ่มวาง project แรกก็คือเริ่มเข้าแข่งขันประกวดวงดนตรีต่างๆ งานแรกที่ได้ลงแข่งขันคืองาน Bangkok Music Award 2006 ซึ่งหลังจากจบงานนั้นเติ้ลก็ได้ออกจากวงไปจึงต้องหยุดวงไปพักหนึ่ง แต่ก็ประจวบเหมาะกับจังหวะที่ แดน(วรกร สุวรรณวงศ์) มือกลองวงเก่าของบอลซึ่งไปอยู่ที่ต่างประเทศกลับมาไทยพอดีจึงได้ชวนเข้ามาอยู่กับวง และในขณะเดียวกันก็ได้ชวน วิน(สกลรัตน์ อินออน)เข้ามาเพิ่ม 



    Project 


    วัตถุประสงค์ของproject นี้คือเพื่อพัฒนาด้านความสามารถของวงโดยเริ่มกลับมาประกวดอีกครั้งในงาน Yamaha True Vision Music Challenge 2007 ในตอนนั้นวงได้รางวัลชมเชย
  
    
    หลังจากงาน Yamaha True Vision Music Challenge 2007 ทำให้กลับมาคุยกันว่าจะประกวดต่อหรือว่าหันไปทำอย่างอื่นดี แต่ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างทำให้วงตัดสินใจที่จะประกวดกันต่อ เหตุผลที่สำคัญอย่างหนึ่งคืองานประกวดดนตรีอายุมักจะถูกจำกัดไว้ที่ประมาณ23 ปี จึงตกลงที่จะประกวดกันเป็นหลักเพราะมีระยะเวลาที่ค่อนข้างกำกัด ด้วยเหตุนี้จึงกลับมาดูข้อมูลของวงทั้งจุดดีและจุดเสียเพื่อที่จะแก้ไข และวางเป้าหมายไว้ว่าจะต้องคว้ารางวัลชนะเลิศรายการใหญ่ๆสักรายการจึงเริ่มต้นกันอย่างจริงจังมานับแต่นั้น 



    ในช่วงกลางปี 2007 ได้ลงแข่งขันงาน Music Conception Vol.8 ซึ่งในตอนนั้นสามารถคว้ารางวัลรองชนะเลิศมาได้ถือว่าว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีเลยทีเดียว
    







    หลังจากนั้นช่วงปลายปีได้เข้าร่วมงานประกวดงาน Yenta4 & Candy Music Challenge Ebola Edition ซึ่งงานนั้นก็สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้โดยงานนั้นศิลปิน Ebola มาเป็นกรรมการตัดสิน 






   หลังจากนั้นก็ได้เข้าร่วมประกวดอีก 2 งานซึ่งอยู่ในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกัน คืองาน Bangkok Music Award 2007 ในตอนนั้นได้รางวัลชมเชย และ Music Express Rock Journey  ซึ่งได้รางวัลรองชนะเลิศ




   ในช่วงสิ้นปี 2007 มีงานประกวดระดับอุดมศึกษาที่ถือว่าใหญ่มาก คืองาน Canon U-League Music Competition สามารถเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศซึ่งจัดในช่วงต้นปี 2008 และคว้ารางวัลชนะเลิศมาได้
   







   ในช่วงปี 2008 เป็นต้นมาทางวงก็เริ่มพักเรื่องการประกวดลงเนื่องจากอยู่ในช่วงเรียนปีสุดท้ายของแต่ละคน มีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นมากมายแต่สิ่งที่ทำให้เป็นจุดเปลี่ยนต่างๆนั้นก็คือ แดน ได้ขอออกจากวงเพื่อกลับไปต่างประเทศ จึงได้มีการนำสมาชิกใหม่เข้ามาคือ ผิว(ธนา กระสินธ์) ซึ่งเป็นรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย


    หลังจากเราทำเป้าหมายที่วางไว้เรื่องการประกวดได้สำเร็จเราจึงกลับมาทำจุดเริ่มต้นของวงคือมีผลงานเป็นของตัวเอง ซึ่งประจวบกับหนึ่งในรางวัลของงาน Canon U-League Music Competition คือการได้บันทึกเสียง 3 เพลง จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการทำผลงานของวง   ซึ่งปัจจุบันสมาชิกในวงมี 4 คน คือ
  
 นววิธ แซ่แต้/อู๋ (vocal)
 อวิรุทธิ์  บึ้งชัยภูมิ/บอล(guitar) 
 กิตติพนธ์  แสนดวงดี/โต้(bass)
 ธนา  กระสินธ์/ผิว(drums)